คำถามยอดฮิต
"ใหย่ขึ้นอยากเป็นหยังน้อบักหล่า"เป็นคำถามยอดฮิตของคนในชนบท สิ้นเสียงคำถามจะตามมาพร้อมกับคำแนะนำว่า "เรียนให้ได้เป็นเจ้าเป็นนายเด้อหล่าเอ้ย" อาชีพที่แนะนำกันรุ่นสู่รุ่นคือ ครู หมอ ตำรวจ ทหาร พยาบาล ทนาย ส่วนใหญ่แล้วคือการรับราชการนั่นเอง คงไม่แปลกอะไรมากมายนักสำหรับคำแนะนำ เพราะคนรุ่นพ่อรุ่นแม่คงไม่อยากให้เรามาทำงานลำบากตรากตรำแบบที่พวกท่านเป็นอยู่ เพียงแค่อยากให้ลูกได้ทำงานที่มีความมั่นคงมี หน้ามีตาในสังคม
ผู้ปกครองจึงช่วยกันผลักดันให้ลูกได้เรียนหนังสือ เรียนตามๆกันไปวันไหนลูกขาดเรียนก็ได้แต่ด่าลุกว่าขี้เกียจเรียนบ้างละ ด่าลูกว่าไม่เห็นตั้งใจเรียนเหมือนลูกคนอื่นบ้างละต่างๆนานา ผมได้แต่นั่งมองและนั่งคิดว่าทำไมเด็กไม่อยากไปโรงเรียน พอถามก็ได้คำตอบว่าไม่สบาย ปวดหัว ปวดท้องสารพัดเหตุผลทั้งๆที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะป่วยแต่บางวันเด็กพวกนี้กลับกระตือรือร้นอยากไปโรงเรียนเอามากๆอะไรทำให้พวกเขาอยากไปโรงเรียน ????
กลับมานั่งๆคิดดูตอนที่เราเรียนหนังสือ ตอนนั้นทำไมเราถึงไม่อยากไปโรงเรียนและมีบางครั้งทำไมเราถึงต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่ออยากไปโรงเรียนเอามากๆ ในตอนนั้นเราจะตอบคำถามที่ว่า โตขึ้นจะเป็นอะไร หน้าที่การงานจะวางไว้แบบไหน แล้วอะไรละคือตัวตนของเรา แล้วจะทำอย่างไรเราถึงจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเราถนัดแบบไหนทำอะไรจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด????
ไมทำผมถึงไม่อยากไปโรงเรียน ผมตอบได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากไปโรงเรียนก็มีหลายๆปัจจัย
1.ในวันที่ผมขาดเรียน มันมีวิชาที่ผมไม่ชอบ ไม่ถนัด เรียนยังไงก็ไม่เข้าใจ เรียนไปก็ไม่รู้สึกสนุกสักนิดเลย ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่าน่าเบื่อ แถมยังต้องออกไปพรีเซ้นท์งานหน้าห้องอีก ตัวเองยังไม่เข้าใจแล้วจะเอาอะไรไปอธิบายให้คนอื่นฟัง แล้วยังจะต้องเจอคำถามหลังจากที่พรีเซ้นท์จบอีก ซึ่งแต่ละคำถามจะมาจากผู้รอบรู้ในห้องรวมถึงท่านอาจารย์ประจำวิชาด้วย ถ้าตอบไม่ได้ก็อายเพื่อนอีก และก่อนจะจบจากคาบเรียนนั้นๆก็จะมีการประกาศผลคะแนนการพรีเซ้นท์ว่าใครได้เท่าไหร่คนเก่งๆก็รับเสียงปรบมือกึกก้องคนที่ตอบคำถามไม่ได้ก็ต้องนำไปปรับปรุงในบทต่อไป
2.ในวันนั้นผมทำการบ้านไม่เสร็จ ทำรายงานไม่เสร็จ เพราะทั้งการบ้านและรายงานเยอะมาก ผมทำไม่ไหวครับ ไม่ใช่ไม่ตั้งใจทำนะแต่ผมตั้งใจทำแล้วมันก็ไม่เข้าใจ ตั้งใจทำแล้วแต่มันก็ไม่ทำให้ผมได้แสดงออกทางความคิดเลยแค่มีหน้าที่ตอบคำถามให้ถูกต้อง ทำรายงานให้ถูกต้องตามหนังสือที่ให้มาผมเลยตัดสินใจไม่ทำ ไปลอกเพื่อนพรุ่งนี้เช้าก็ได้เพราะถึงยังไงก็คล้ายๆกันอยู่ดี พอไม่ได้ทำตื่นเช้ามาก็รู้สึกกังวนเพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่อยากทิ้งการเรียนกลัวไม่จบ สุดท้ายตัดสินใจขาดเรียนแล้วค่อยไปส่งการบ้านทีหลังดีกว่า
พูดถึงเรื่องการทำการบ้านมีคำถามหนึ่งครับที่ผมจำได้ไม่เคยลืม วันนั้นในคำถามมีอยู่ว่า
บริเวรบ้านของนักเรียนส่วนไหนเหมาะสำหรับการตากผ้ามากที่สุด (คำถามเป็นประมาณนี้ครับ)
ก.หน้าบ้าน ข.หลังบ้าน ค.กับ ง. ผมจำไม่ได้ว่าส่วนไหนบ้างแต่ที่แน่ๆสองข้อนี้ไม่โดนแดดผมจึงตัดออกจากคำตอบที่ผมจะตอบ เหตุผลที่จำสองข้อนี้ได้คือ ผมตอบ ก. และคำตอบที่ถูกต้องคือ ข.ครับ ท่านอาจารย์ให้เหตุผลว่า ต้องเป็นหลังบ้านเพราะการที่เราจะตาก กกน.ไว้หน้าบ้านมันเป็นเรื่องที่น่าอายและไม่สมควรอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็มีการแซวกันเกิดขึ้นผมก็อายครับ ที่ตอบผิด
ทำไมผมตอบข้อ ก. นะเหรอครับ ผมตอบเพราะความเป็นจริง เพราะตั้งแต่ที่ผมออกเดินจากบ้านมาโรงเรียนทุกๆวันผมเห็นเกือบทุกหลังคาเรือน ตากผ้าไว้หน้าบ้านกันหมดเลย ในตอนนั้นผมอาจจะยังตีโจทย์ไม่แตกคับ แต่ผมพยามยามตีโจทย์แล้วว่าถ้าหน้าบ้านไม่ดีจริงเขาคงไม่ตากกันเกือบทั้งหมู่บ้านหรอก ครับ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตอบ ก. หลังจากนั้นในการทำการบ้านบางวิชาผมเลือกที่จะลอกคนเก่งๆมากกว่าตอบเองเพราะถ้าตอบผิดมาผมจะไม่ได้คะแนนเลย
ในส่วนของคำถามนี้เป็นคำถามที่ติดอยู่ในสมองของผมเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ผมไปต่างถิ่น ตั่งแต่ไปเรียนต่อ ไปทำงาน ผมจะพยายามสังเกตุและหาคำตอบให้กับคำถามนี้อยู่เป็นประจำแล้วผมก็ได้รู้ว่าคนส่วนใหญ่ก็ตากผ้าไว้หน้าบ้าน หน้าห้อง กันทั้งนั้นเพราะหลังบ้านไม่มีแดดมันเป็นห้องเช่า55สรุปในความคิดผมการตากผ้าส่วนไหนของบ้านเหมาะสมที่สุด คืออยู่ที่สถานที่ของเจ้าของบ้านว่าส่วนไหนเหมาะสมที่สุดคับไม่รู้ว่ามันจะถูกหรือผิด แต่มันจะดีไหมหากคำตอบในข้อสอบมีคะแนนให้ทุกข้อ คะแนนจะแบ่งให้ตามความถูกต้อง ตามความคิดของผู้ตอบว่ามีเหตุผลอะไรถึงตอบข้อนี้
ส่วนสาเหตุอื่นๆๆอาจจะมีเรื่องเพื่อนเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆนานาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แล้วแต่บุคคลและเหตุการณ์ ผมคิดว่าเด็กๆพวกนั้นคงกำลังเจอสถาณการณ์เช่นเดียวกับผมอยู่รึเปล่านะทำไมเขาถึงไม่อยากไปโรงเรียน
ทำไมผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน ผมตอบได้เลยว่ามันก็มีหลายสาเหตุครับ
1.ในวันนั้นมีวิชาที่ผมชอบ มีวิชาที่เรียนแล้วสนุก มีวิชาที่ได้ปฎิบัติ
2.ในวันนั้นได้มีการแสดงออกถึงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ เช่นมีการแข่งกีฬา การเล่นดนตรี รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆที่ผมชอบ ผมก็คงคิดว่าเด็กเหล่านี้คงคิดแบบเดียวกับผมอยู่รึป่าว ผมเองไม่ได้คิดว่าคน100คนจะชอบแบบเดียวกับผม บางคนอาจจะชอบคำนวณแต่ไม่ชอบวิชาพละเพราะตัวเขาเองทำได้ไม่ดีพอ แต่ละคนมีความชอบและความไม่ชอบที่ไม่เหมือนกัน
"ผมเคยคิดว่ามันจะดีขนาดไหนนะ ถ้าเราสามารถเลือกวิชาที่เรารู้สึกว่าเราทำได้ดี เราพอทำได้ เรียนแล้วสนุก มีความสุขกับการได้ทำการบ้าน การได้ทำรายงาน การได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่ได้มาจากหนังสือ" นำมารวบรวมกันแล้วเก็บเป็นแบบหน่วยกิต ซึ่งมันคงไม่จำเป็นว่าต้องเรียนสายไหนถึงจะได้เรียนวิชานี้ นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
โตขึ้นอยาจะเป็นอะไร รับราชการนะมั่นคงดี ครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ทนาย อาชีพเหล่านี้คืออาชีพที่ถูกปลูกฝังโดยบรรพบุรุษ เมื่อต้องทำตามความต้องการของบรรพบุรุษแล้ว บางคนต้องเรียนตามนั้นไม่ค่อยมีใครจะออกนอกลู่นอกทางสำหรับคนที่เรียนได้ ในส่วนของคนที่เรียนไม่ไหวจะไปทำอะไรละ เรียนไม่เก่ง คิดคำนวณไม่ไหวไปไม่รอด จะทำยังไง ค้นหาตัวตนจะค้นหายังไงในเมื่อข้อจำกัดมีอยู่แค่ ครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ทนาย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมามันไปไม่ไหวแล้ว เรียนไม่ไหวแล้ว
สรุปสิ่งที่ได้กลับมาคือคำว่าโง่บ้างละ ไม่ตั้งใจเรียนบ้างละ เกเรบ้างละ คำเหล่านี้ถูกพูดขึ้นมาบ่อยมากสำหรับเด็กที่เรียนไม่จบ แต่ทำไมไม่มีคนคิดจะแก้ไขซักที ทำไมไม่มีคนที่คิดจะสร้างเด็กเหล่านี้ด้วยความสามารถเฉพาะทางที่พวกเขามี สร้างเด็กเหล่านี้จากสิ่งที่พวกเขารัก สร้างเด็กเหล่านี้นอกเหนือจากตำราเรียน
ผมเคยคิดว่าจะดีขนาดไหนนะถ้าในโรงเรียนหรือชุมชนมีอุปกรณ์ไว้สำหรับให้พวกเขาได้ค้นหาตัวเอง มีแหล่งข้อมูลที่เพียงพอไว้ให้พวกเขาได้ค้นหาข้อมูล ค้นหาตัวตนที่แท้จริง ได้สำผัสกับอุปกรณ์จริงๆ ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ได้พบผู้คนใหม่ๆ แนวความคิดใหม่ๆ ในอนาคตเด็กเหล่านี้อาจเป็นผู้ที่สร้างสิ่งใหม่ๆผู้ที่นำพาสิ่งใหม่มาสู่ชมชน มาสู่ประเทศไทย มันจะดีขนาดไหนถ้าเราไม่ต้องมาบังคับลูกไปเรียนในทุกๆเช้ามันจะดีขนาดไหนถ้าพวกเขาไม่อยากหยุดความฝันไม่อยากขาดโรงเรียน เพราะมีสิ่งที่เขาอยากรู้อยากลองรออยู่ที่โรงเรียน
ในวันนี้มีคนที่มีแนวความคิดที่คล้ายๆกันกับผมแต่เขากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เขากำลังจะผลักดันให้เกิด ศูนย์การเรียนรู้สาธารณะ ใจกลางเมือง สำหรับทุกคน เขาคนนั้นคือ คุณ มีนา โชติคำ ผมเชื่อวว่ามีหลายๆคนได้ดูวีดีโอเกี่ยวกับเขามาบ้างแล้ว และต่อจากนี้ไปผมจะให้ท่านได้ดูวีดีโอเกี่ยวกับตัวคุณมีนา ว่าเป็นใคร เขามีแนวความคิดนี้ยังไง เขาทำไปเพื่ออะไร
ดูจบแล้วก็ช่วยเข้าไปสนับสนุน คุณมีนา โชติคำ ด้วยนะครับ ถ้าสิ่งที่เขากำลังผลักดันนี้ได้กำเนิดขึ้นมาจริงๆผมคิดว่าคงจะมีการต่อยอด ออกมาเรื่อยๆนะครับสำหรับการเรียนรู้ และศูนย์การเรียนรู้สาธารณะ คงจะขยับขยายออกมาให้กับชุมชนต่อๆไปในอนาคต ในส่วนของผมเองคงจะต้องเริ่มทำอะไรบ้างแล้วละครับอาจจะทำศูนย์การเรียนรู้สาธารณะระดับหมู่บ้านก่อนคงเริ่มทำจากสิ่งที่อยู่นี่แหละครับ
ผู้ปกครองจึงช่วยกันผลักดันให้ลูกได้เรียนหนังสือ เรียนตามๆกันไปวันไหนลูกขาดเรียนก็ได้แต่ด่าลุกว่าขี้เกียจเรียนบ้างละ ด่าลูกว่าไม่เห็นตั้งใจเรียนเหมือนลูกคนอื่นบ้างละต่างๆนานา ผมได้แต่นั่งมองและนั่งคิดว่าทำไมเด็กไม่อยากไปโรงเรียน พอถามก็ได้คำตอบว่าไม่สบาย ปวดหัว ปวดท้องสารพัดเหตุผลทั้งๆที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะป่วยแต่บางวันเด็กพวกนี้กลับกระตือรือร้นอยากไปโรงเรียนเอามากๆอะไรทำให้พวกเขาอยากไปโรงเรียน ????
กลับมานั่งๆคิดดูตอนที่เราเรียนหนังสือ ตอนนั้นทำไมเราถึงไม่อยากไปโรงเรียนและมีบางครั้งทำไมเราถึงต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่ออยากไปโรงเรียนเอามากๆ ในตอนนั้นเราจะตอบคำถามที่ว่า โตขึ้นจะเป็นอะไร หน้าที่การงานจะวางไว้แบบไหน แล้วอะไรละคือตัวตนของเรา แล้วจะทำอย่างไรเราถึงจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเราถนัดแบบไหนทำอะไรจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด????
ไมทำผมถึงไม่อยากไปโรงเรียน ผมตอบได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากไปโรงเรียนก็มีหลายๆปัจจัย
1.ในวันที่ผมขาดเรียน มันมีวิชาที่ผมไม่ชอบ ไม่ถนัด เรียนยังไงก็ไม่เข้าใจ เรียนไปก็ไม่รู้สึกสนุกสักนิดเลย ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่าน่าเบื่อ แถมยังต้องออกไปพรีเซ้นท์งานหน้าห้องอีก ตัวเองยังไม่เข้าใจแล้วจะเอาอะไรไปอธิบายให้คนอื่นฟัง แล้วยังจะต้องเจอคำถามหลังจากที่พรีเซ้นท์จบอีก ซึ่งแต่ละคำถามจะมาจากผู้รอบรู้ในห้องรวมถึงท่านอาจารย์ประจำวิชาด้วย ถ้าตอบไม่ได้ก็อายเพื่อนอีก และก่อนจะจบจากคาบเรียนนั้นๆก็จะมีการประกาศผลคะแนนการพรีเซ้นท์ว่าใครได้เท่าไหร่คนเก่งๆก็รับเสียงปรบมือกึกก้องคนที่ตอบคำถามไม่ได้ก็ต้องนำไปปรับปรุงในบทต่อไป
2.ในวันนั้นผมทำการบ้านไม่เสร็จ ทำรายงานไม่เสร็จ เพราะทั้งการบ้านและรายงานเยอะมาก ผมทำไม่ไหวครับ ไม่ใช่ไม่ตั้งใจทำนะแต่ผมตั้งใจทำแล้วมันก็ไม่เข้าใจ ตั้งใจทำแล้วแต่มันก็ไม่ทำให้ผมได้แสดงออกทางความคิดเลยแค่มีหน้าที่ตอบคำถามให้ถูกต้อง ทำรายงานให้ถูกต้องตามหนังสือที่ให้มาผมเลยตัดสินใจไม่ทำ ไปลอกเพื่อนพรุ่งนี้เช้าก็ได้เพราะถึงยังไงก็คล้ายๆกันอยู่ดี พอไม่ได้ทำตื่นเช้ามาก็รู้สึกกังวนเพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่อยากทิ้งการเรียนกลัวไม่จบ สุดท้ายตัดสินใจขาดเรียนแล้วค่อยไปส่งการบ้านทีหลังดีกว่า
พูดถึงเรื่องการทำการบ้านมีคำถามหนึ่งครับที่ผมจำได้ไม่เคยลืม วันนั้นในคำถามมีอยู่ว่า
บริเวรบ้านของนักเรียนส่วนไหนเหมาะสำหรับการตากผ้ามากที่สุด (คำถามเป็นประมาณนี้ครับ)
ก.หน้าบ้าน ข.หลังบ้าน ค.กับ ง. ผมจำไม่ได้ว่าส่วนไหนบ้างแต่ที่แน่ๆสองข้อนี้ไม่โดนแดดผมจึงตัดออกจากคำตอบที่ผมจะตอบ เหตุผลที่จำสองข้อนี้ได้คือ ผมตอบ ก. และคำตอบที่ถูกต้องคือ ข.ครับ ท่านอาจารย์ให้เหตุผลว่า ต้องเป็นหลังบ้านเพราะการที่เราจะตาก กกน.ไว้หน้าบ้านมันเป็นเรื่องที่น่าอายและไม่สมควรอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็มีการแซวกันเกิดขึ้นผมก็อายครับ ที่ตอบผิด
ทำไมผมตอบข้อ ก. นะเหรอครับ ผมตอบเพราะความเป็นจริง เพราะตั้งแต่ที่ผมออกเดินจากบ้านมาโรงเรียนทุกๆวันผมเห็นเกือบทุกหลังคาเรือน ตากผ้าไว้หน้าบ้านกันหมดเลย ในตอนนั้นผมอาจจะยังตีโจทย์ไม่แตกคับ แต่ผมพยามยามตีโจทย์แล้วว่าถ้าหน้าบ้านไม่ดีจริงเขาคงไม่ตากกันเกือบทั้งหมู่บ้านหรอก ครับ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตอบ ก. หลังจากนั้นในการทำการบ้านบางวิชาผมเลือกที่จะลอกคนเก่งๆมากกว่าตอบเองเพราะถ้าตอบผิดมาผมจะไม่ได้คะแนนเลย
ในส่วนของคำถามนี้เป็นคำถามที่ติดอยู่ในสมองของผมเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ผมไปต่างถิ่น ตั่งแต่ไปเรียนต่อ ไปทำงาน ผมจะพยายามสังเกตุและหาคำตอบให้กับคำถามนี้อยู่เป็นประจำแล้วผมก็ได้รู้ว่าคนส่วนใหญ่ก็ตากผ้าไว้หน้าบ้าน หน้าห้อง กันทั้งนั้นเพราะหลังบ้านไม่มีแดดมันเป็นห้องเช่า55สรุปในความคิดผมการตากผ้าส่วนไหนของบ้านเหมาะสมที่สุด คืออยู่ที่สถานที่ของเจ้าของบ้านว่าส่วนไหนเหมาะสมที่สุดคับไม่รู้ว่ามันจะถูกหรือผิด แต่มันจะดีไหมหากคำตอบในข้อสอบมีคะแนนให้ทุกข้อ คะแนนจะแบ่งให้ตามความถูกต้อง ตามความคิดของผู้ตอบว่ามีเหตุผลอะไรถึงตอบข้อนี้
ส่วนสาเหตุอื่นๆๆอาจจะมีเรื่องเพื่อนเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆนานาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แล้วแต่บุคคลและเหตุการณ์ ผมคิดว่าเด็กๆพวกนั้นคงกำลังเจอสถาณการณ์เช่นเดียวกับผมอยู่รึเปล่านะทำไมเขาถึงไม่อยากไปโรงเรียน
ทำไมผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน ผมตอบได้เลยว่ามันก็มีหลายสาเหตุครับ
1.ในวันนั้นมีวิชาที่ผมชอบ มีวิชาที่เรียนแล้วสนุก มีวิชาที่ได้ปฎิบัติ
2.ในวันนั้นได้มีการแสดงออกถึงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ เช่นมีการแข่งกีฬา การเล่นดนตรี รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆที่ผมชอบ ผมก็คงคิดว่าเด็กเหล่านี้คงคิดแบบเดียวกับผมอยู่รึป่าว ผมเองไม่ได้คิดว่าคน100คนจะชอบแบบเดียวกับผม บางคนอาจจะชอบคำนวณแต่ไม่ชอบวิชาพละเพราะตัวเขาเองทำได้ไม่ดีพอ แต่ละคนมีความชอบและความไม่ชอบที่ไม่เหมือนกัน
"ผมเคยคิดว่ามันจะดีขนาดไหนนะ ถ้าเราสามารถเลือกวิชาที่เรารู้สึกว่าเราทำได้ดี เราพอทำได้ เรียนแล้วสนุก มีความสุขกับการได้ทำการบ้าน การได้ทำรายงาน การได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่ได้มาจากหนังสือ" นำมารวบรวมกันแล้วเก็บเป็นแบบหน่วยกิต ซึ่งมันคงไม่จำเป็นว่าต้องเรียนสายไหนถึงจะได้เรียนวิชานี้ นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
โตขึ้นอยาจะเป็นอะไร รับราชการนะมั่นคงดี ครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ทนาย อาชีพเหล่านี้คืออาชีพที่ถูกปลูกฝังโดยบรรพบุรุษ เมื่อต้องทำตามความต้องการของบรรพบุรุษแล้ว บางคนต้องเรียนตามนั้นไม่ค่อยมีใครจะออกนอกลู่นอกทางสำหรับคนที่เรียนได้ ในส่วนของคนที่เรียนไม่ไหวจะไปทำอะไรละ เรียนไม่เก่ง คิดคำนวณไม่ไหวไปไม่รอด จะทำยังไง ค้นหาตัวตนจะค้นหายังไงในเมื่อข้อจำกัดมีอยู่แค่ ครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ทนาย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมามันไปไม่ไหวแล้ว เรียนไม่ไหวแล้ว
สรุปสิ่งที่ได้กลับมาคือคำว่าโง่บ้างละ ไม่ตั้งใจเรียนบ้างละ เกเรบ้างละ คำเหล่านี้ถูกพูดขึ้นมาบ่อยมากสำหรับเด็กที่เรียนไม่จบ แต่ทำไมไม่มีคนคิดจะแก้ไขซักที ทำไมไม่มีคนที่คิดจะสร้างเด็กเหล่านี้ด้วยความสามารถเฉพาะทางที่พวกเขามี สร้างเด็กเหล่านี้จากสิ่งที่พวกเขารัก สร้างเด็กเหล่านี้นอกเหนือจากตำราเรียน
ผมเคยคิดว่าจะดีขนาดไหนนะถ้าในโรงเรียนหรือชุมชนมีอุปกรณ์ไว้สำหรับให้พวกเขาได้ค้นหาตัวเอง มีแหล่งข้อมูลที่เพียงพอไว้ให้พวกเขาได้ค้นหาข้อมูล ค้นหาตัวตนที่แท้จริง ได้สำผัสกับอุปกรณ์จริงๆ ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ได้พบผู้คนใหม่ๆ แนวความคิดใหม่ๆ ในอนาคตเด็กเหล่านี้อาจเป็นผู้ที่สร้างสิ่งใหม่ๆผู้ที่นำพาสิ่งใหม่มาสู่ชมชน มาสู่ประเทศไทย มันจะดีขนาดไหนถ้าเราไม่ต้องมาบังคับลูกไปเรียนในทุกๆเช้ามันจะดีขนาดไหนถ้าพวกเขาไม่อยากหยุดความฝันไม่อยากขาดโรงเรียน เพราะมีสิ่งที่เขาอยากรู้อยากลองรออยู่ที่โรงเรียน
ในวันนี้มีคนที่มีแนวความคิดที่คล้ายๆกันกับผมแต่เขากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เขากำลังจะผลักดันให้เกิด ศูนย์การเรียนรู้สาธารณะ ใจกลางเมือง สำหรับทุกคน เขาคนนั้นคือ คุณ มีนา โชติคำ ผมเชื่อวว่ามีหลายๆคนได้ดูวีดีโอเกี่ยวกับเขามาบ้างแล้ว และต่อจากนี้ไปผมจะให้ท่านได้ดูวีดีโอเกี่ยวกับตัวคุณมีนา ว่าเป็นใคร เขามีแนวความคิดนี้ยังไง เขาทำไปเพื่ออะไร
ดูจบแล้วก็ช่วยเข้าไปสนับสนุน คุณมีนา โชติคำ ด้วยนะครับ ถ้าสิ่งที่เขากำลังผลักดันนี้ได้กำเนิดขึ้นมาจริงๆผมคิดว่าคงจะมีการต่อยอด ออกมาเรื่อยๆนะครับสำหรับการเรียนรู้ และศูนย์การเรียนรู้สาธารณะ คงจะขยับขยายออกมาให้กับชุมชนต่อๆไปในอนาคต ในส่วนของผมเองคงจะต้องเริ่มทำอะไรบ้างแล้วละครับอาจจะทำศูนย์การเรียนรู้สาธารณะระดับหมู่บ้านก่อนคงเริ่มทำจากสิ่งที่อยู่นี่แหละครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น