ข้าวของเฮา อนาคตของข้าว

  "ขายถูก ปลูกยาก ซื้อแพง"นี่เป็นคำนิยามของ "ข้าว"ในความคิดของผมเอง ข้าวคำสั้นๆคำเดียวแต่มีความหมายมากสำหรับการดำรงชีวิตของคนไทยทุกคน ทุกคนต้องกินข้าว ในอดีตข้าวคือพืชเศรษฐกิจของไทย คนไทยส่วนใหญ่ปลูกข้าวเป็นอาชีพ อาชีพนี้เรียกว่า"ชาวนา"ผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่ในปัจจุบันด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บวกกับราคาข้าวที่ต่ำลง สภาพดินฟ้าอากาศ ค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นการทำนาเลยเปลี่ยนจากอาชีพหลักมาเป็นทำเพื่ออยู่เพื่อกิน

การทำนานั้นมีความเสี่ยงสูงมากแทบจะบอกได้เลยว่าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฝนจะแล้ง หรือ น้ำท่วม ไม่มีอะไรที่ชาวนาจะคาดเดาได้เลย และวิธีของการทำนานั้นก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศของแต่ละปี แถวบ้านผมจะทำนาได้ปีละครั้งเท่านั้นเอง เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาฝนแล้งมาก การทำนาส่วนใหญ่จะเป็นการทำนาแบบนาหว่าน

 มาถึงปีนี้ทุกคนก็เตรียมตัวทำนาหว่านเหมือนเช่นสองสามปีที่ผ่านมา แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแผนเมื่อฝนตกติดต่อกันหลายวัน(ในขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนฝนก็กระหน่ำลงมาอีก)คนส่วนใหญ่เปลี่ยนแผนมาทำนาดำทันที มีอีกส่วนรอดูฝนอีกทีว่าจะดำหรือหว่าน ถ้าดำเสร็จกลัวฝนไม่ตกถ้าจะหว่านก็กลัวฝนตกหนัก นี่แหละครับคาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
สิเอาน้ำเข้าหลายส่ำได บอกมาไวไวอ้ายพร้อมจะปล่อยน้ำ ปล่อยน้ำใส่นาน้อง


ขั้นตอนการทำนาดำก็ต้องเริ่มจากเพาะกล้าข้าว นาดำจะต้องมีน้ำเป็นส่วนสำคัญ เมื่อปล่อยน้ำใส่นาน้องเสร็จแล้ว ก็ทำการเตรียมดิน ขอบอกขัั้นตอนนี้เหนื่อยสุดๆคับกว่าดินจะได้ที่ เล่นเอาเหนื่อยเลยดีเดียว




ขั้นตอนต่อมาคือการถอนต้นกล้า ภาษาอีสาน เรียกว่า "หลกกล้า" ครับขั้นตอนนี้ก็สุดแสนจะทรมาน มือกับหลัง เอามากๆ  เบิ่งเอาเด้อกว่าสิได้แต่เงินละบาทให้ลูกไปโรงเรียนมันลำบากแท้ๆ


เมื่อแผนกถอนกล้าถอนเสร็จ ก็จะมีแผนกตัด กับแผนกหาบมารับหน้าที่ต่อไป แผนกหาบจะทำหน้าที่หาบต้นกล้าแล้วนำไปว่างให้เป็นจุดๆไว้ให้แผนกดำทำงานต่อไป




ถึงเวลาที่แผนกดำได้ทำงานละครับในจำนวนนี้ก็จะมาจากแผนกหลกด้วยเช่นกัน ทำการปักดำเสร็จก็เป็นอันเสร็จครับ ต้องมาคอยลุ้นฝนกันอย่างเดียวคับว่าจะมาน้อย มามาก หรือไม่มาเลย ต้องคอยกำจัดศัตรูข้าวเช่นปูนา หอยเชอรี่ ซึ่งการกำจัดปูนานั้นจึงเป็นสาเหตุให้ปูนาหายากและมีราคาแพงในช่วงหนึ่งของปี

การทำนาดำนั้นต้องใช้แรงงานเยอะกว่าการทำนาหว่าน แต่การทำนาดำ ปีนี้ถือว่าต้องทำเพราะสภาพแวดล้อมบังคับ ค่าใช้จ่ายในการทำนาดำ นั้นสูงมากเลยทีเดียวครับ สำหรับใครที่พอมีทุนก็ถือว่าไม่หนักเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ทุนน้อย แถมก่อนหน้านี้ทำนาหว่านไปก่อนที่ฝนจะตก เสียค่าจ้างไปก็ไม่น้อย แล้วยังต้องมาปรับสภาพตามฝนฟ้าคือถ้าไม่ดำก็ไม่มีข้าวกิน ถือว่าหนักเลยทีเดียว

ค่าจ้างการทำนาดำนั้น จ้างตั้งแต่ไถคราด ถอนต้นกล้าคิดเป็น100มัดต่อเงิน150บาท หรือช่วงที่ขาดแคลนแรงงาน ราคามันขึ้นไปมัดละ2บาท  การจ้างคนดำนา เริ่มแรกวันละ250บาท ช่วงที่ขาดแคลนแรงงานราคาขึ้นไปวันละ300บาท ซึ่งผมขอพูดตามตรงว่าการจ้างวันละ300 ซัก10คน เราจะไม่ได้แรงงานฝีมือดีถึง10คนอาจจะได้มาซัก6คน อีก4คนคือแรงงานฝีปากดี พุดมากกว่าทำ55 แล้วยังมีค่ากับข้าวที่ต้องเลี่ยงคนงานอีกหลายร้อยบาท ซึ่งรวมๆแล้วถือว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก หรือบางที่ก็มีการจ้างแบบเหมารวมเบ็ดเสร็จไปเลยก็มี

ส่วนคนที่ไม่มีเงินจ้างบางส่วนก็ทำกันเองในครอบครัว  บางส่วนก็ทำตามวัฒนธรรมดั้งเดิมคือการลงแขก

การลงแขก หรือที่บ้านผมเรียกกันว่า"เอาแฮงกัน" การทำลักษณะนี้จะช่วยแบ่งเบาเรื่องเงินทองได้มากพอสมควร แต่ก็จะใช้แรงมากเช่นกัน ยิ่งมีคนมาช่วยเยอะเท่าไหร่ก็ต้องไปช่วยเยอะเท่านั้น แต่ถึงจะเหนื่อยก็มีความสุขไปพร้อมๆกัน มีเงินไม่ต้องใช้แรง มีแรงไม่ต้องใช้เงิน นี่แหละครับวิถีชาวนาแถวบ้านผม
นาหว่าน

นาดำ

เมื่อผมมานั่งคิดค่าจ้าง ถอนกล้ามัดละ2บาท ค่าแรงดำนาวันละ300บาทซึ่งบางครั้งแรงงานที่ได้ประสิทธิภาพไม่ถึง300บาท ค่าอาหารเหล้ายาปลาปิ้ง และดูอายุเฉลี่ยของคนทำนาแล้ว ในอนาคตใครจะทำนา? ค่าแรงงานจะสูงขึ้นจะคุ้มไหม? คนรับจ้างทำนาจะมีพอต่อความต้องการหรือไม่?

เมื่อผมนำทุกคำถามมาประมวณผลด้วยมันสมองอันน้อยนิดแล้ว ในอนาคตการทำนาคงจะต้องพึ่งพาเครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะดำหรือหว่าน ทุกวันนี้มีเครื่องหยอดเมล็ดข้าว มีเครื่องดำนาขนาดเล็กหลายชนิด  การจ้างคนทำนากว่าจะเสร็จได้ต้องใช้เงินหลายบาท แถมบางครั้งเสร็จไม่ทันตามกำหนด ถ้าใช้เครื่องจักรน่าจะถูกว่าเสร็จไวกว่า อีกอย่างแรงงานคนรุ่นใหม่หนีเข้าเมืองกรุงหมดคงจะมีเหลือกันไม่กี่คนที่ยังทำนาและ ทำงานที่บ้าน

อนาคตของชาวนาคนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดไหน ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ มีเพียงความคิดว่ามันน่าจะเป็นเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วชาวนาจะยังหลงเหลืออีกซักกี่คน อันนี้น่าสนใจมากก็ต้องมาคอยดูกันละครับว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ข้าวจะมีราคาดีกว่านี้ไหม? คนรุ่นใหม่จะมีใครกลับมาทำนาไหม? เขาจะทำนากันแบบไหน?  ข้าวจะเป็นพืชเศรษฐกิจหรือเป็นพืชที่ปลูกเพื่อกินเท่านั้นเอง

                                                                      @หัวหน้าเด็กน้อย
ขอขอบคุณภาพสวยๆ เครดิตภาพ
ท่านผอ.อุไร ลาสอนUrai Lason

และหลานสาวคนสวยParichart Pleumwong




















































































































































ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผู้บ่าวบ้านบ้านกับงานเอาบุญแอว

กลับมาตาม รอยเท้าชายชรา ผู้ยากจน